Phuket Trip :)





             ทริปภูเก็ตเริ่มต้นยังไงจำไม่ค่อยได้ ๕๕๕ แต่รู้ว่านัดกันไปสามคน แต่มีคนเบี้ยวไปคนหนึ่งอะ (หนูไหมนั่นเอง)
ทริปนี้เลยไปกันแบบคู่หูดูโอ้บิวกับมัดหมี่ การเดินทางเราจองตั๋วเครื่องบินกัน มันช่วง low cost พอดี จองล่วงหน้าสองสามอาทิตย์ ราคาไปกลับประมาณ ๑๕๐๐ บาท เราเริ่มออกเดินทางกันวันที่ ๔ ก.ค ๕๗ รอบไฟล์ท บ่ายสามมั้ง ไหมมาส่งพวกเราแบบบังเอิญ เพราะตกไฟล์ทกลับหาดใหญ่ ฮ่าๆ เราบินไปกับสายการบินแอร์เอเชีย ขึ้นที่สนามบินดอนเมือง เราไปกัน ๔ วัน คือ วันที่ ๔-๗ ก.ค. ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ลองบิน แอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกันนะ และก็นั่งเม้าท์มอยกันไป เราเดินทางมาถึงภูเก็ตใช้เวลา ๑.๒๐ นาที มาถึงฝนตกพอดีเลย รอรถบัสนานแสนนาน จนเราได้ขึ้นรถตู้ที่เป็นรถเสริมของรถบัส นั่งไปหลับไป เพราะมาถึงค่อนข้างเย็นแล้ว พอมาถึงบขส.เก่า เราก็เดินทางที่พัก เดินไปหลงไปจนมาถึงห้องพักที่หนึ่ง ๔๕๐ บาทก็โอเคๆ (จำชื่อได้ล่ะ) เก็บของแล้วเราก็ไปหาข้าวกินกัน ตื่นเช้ามาแพลนแรกคือ ไปตระเวนแถวย่านเมืองเก่า Phuket old town โดยการเดินๆ เดินๆ และก็เดิน



               ด้วยความที่มันยังเช้าอยู่ ประจบกับเป็นวันธรรมดา บรรยากาศจึงไม่ค่อยจะคึกครื้นสักเท่าไร ร้านค้าบ้านช่องยังคงปิดทำการอยู่ เราก็เดินไปถ่ายรูปไป แวะหาข้าวเช้ากินกัน คือ ข้าวต้ม กับติ่มซำ พูดคุยกับป้าคนขายป้าน่ารักมากๆ แนะนำนู้นแนะนำนี่ ^^ จากนั้นเราก็เดินไปเรื่อยๆ จุดหมายเกิดขึ้นได้ทุกขณะเวลา แล้วแต่ว่าอยากไปไหนกัน ฮ่าๆ พวกเราจึงตัดสินใจเดินขึ้นเขารังกัน เฮ้ย มันคงไม่ไกลหรอกบอกกันอย่างลอยๆ เดินมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเล็งรถที่จะขอโบกติดไปด้วย บางคันเป็นรถเก๋งเราก็ไม่ค่อยกล้าโบก เกรงใจเค้า ส่วนรถกระบะนานๆ จะขับขึ้นมาที แต่พอมีสักคนก็แม่มน่ากลัวชะมัด เราก็เลยเดินๆ ไปเรื่อยๆ สักพักมีคุณลุงแว๊นซ์ซาเล้งมาจะขึ้นไปส่งผัก ลุงก็เลยเรียกพวกเราขึ้นไปด้วย โอ้ไม่นะ! นี่เรากลายเป็นผักไปแล้ว ขึ้นมาสักพักก็ถึงล่ะ ก็ขอบคุณคุณลุงไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เราเดินชมรอบๆ เขารัง บรรยากาศเต็มไปด้วยป่าเขา พรรณไม้ คลอด้วยเสียงเหล่าสรรพสัตว์ ช่างสงบเยืกเย็น แต่เด๊่ยวนะมีเสียงใครเจาะสว่าน อ๋อ เขากำลังก่อสร้างบริเวณจุดชมวิวเขารังพอดี เราก็เลยรีบๆ เดินไปถ่ายรูป จากนั้นก็เดินลงเขาจ้าา เดินลงมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับวัดเขารังสามัคคีธรรม เราก็แวะเข้าไปสักการะกัน จากนั้นก็เดินลงเขากันต่อ แต่ขากลับไม่มีรถลงเลยสักกะคันก็เดินกันจนถึงตีนเขาในที่สุด แต่รู้สึกว่าขาลงมันเร็วกว่ายังไงก็ไม่รู้แหะ




           เรียกได้ว่าเอะอะๆก็ เดินอย่างเดียวเลยพวกเรา ฮ่าๆ จากนั้นเราก็เดินกันไปเรื่อยๆ ก็ไม่อยากจะบอกอะนะว่าเดินไปเกือบจะทุกถนนล่ะไม่ว่าจะถนนเยาวราช เทพเทพกษัตรี ถนนภูเก็ต ถนนดีบุก ถนนพังงา ถนนถลาง ชื่อถนนจะเป็นเอกลักษณ์เป็นชื่อที่คนทั่วไปรู้จักกัน เดินไปบางทีเราก็หยิบหนังสือคู่มือท่องเที่ยวมาชำเลืองบ้างไรบ้าง เจอร้านหนังสืออิสระชื่อ ร้านหนัง(สือ)๒๕๑๒ ก็ไม่รีรอแวะเข้าไปหยิบๆ จับๆ สักพักท้องก็ร้องเอะอะโวยวาย เราก็เลยตกลงปลงใจไปกินข้าวกลางวันที่ร้านอะไรโภชนาสักอย่างนี่แหละ (ลืมชื่ออะ-..-) เมนูแนะนำของร้านคือข้าวยำปัตตานี เราก็เลยจัดมาหนึ่งชุด และก็มีโรตีน้ำแกง คือเป็นโรตีแผ่นๆ แล้วจิ้มกินกับน้ำแกง อร่อยใช้ได้เลยทีเดียวนะฮะ ผักนี่จัดเต็มมาเลยจ้า นั่งพักร้อนก็เดินทางต่อ เออลืมบอกเลยช่วงที่เรามานี่ฝนกำลังตกใช้ได้เลย แต่ดีอย่างที่ตอนเราเดินทางไม่ตก แต่พอกลับที่พักดันตก ๕๕๕

              จากนั้นก็ขอกลับไปพักเอาแรงที่ที่พักกันหน่อย พอตกเย็นๆ ก็ไปเดินหลาดปล่อยของ เป็นตลาดนัดอินดี้ ขายของแนวๆ เก๋ๆ ไรงี้ เดินวนกันไปมาสองสามรอบคนยังน้อยอยู่ของก็ยังไม่เยอะสงสัยมาเร็วไป ก็เลยไปกินข้าวเย็นกันก่อน เมนูมื้อเย็นคือ ผัดหมี่ฮกเกี้ยน กับโลบะ (ส่วนประกอบของหมูนำเอามาทอด หรือเรียกว่าเครื่องในดีอะ ๕๕๕)หลังจากนั้นก็กลับมาเดินหลาดปล่อยของอีกรอบ ตอนนี้คนเยอะของเยอะแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นที่นี่ก็ว่าได้นะ เดินจนไม่รู้จะเดินไปไหนแล้วก็เลยกลับห้องพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไป "หาดป่าตอง"




                เขาบอกกันว่าถ้าไม่ได้มาหาดป่าตองกับแหลมพรหมเทพแสดงว่ามาไม่ถึงภูเก็ต พวกเราก็เลยมากันสักหน่อย โดยนั่งรถสองแถวจากเมืองภูเก็ตมาลงหาดป่าตอง ๓๐ บาท (ความจริงต้องบอกว่าเป็นรถสามแถว เพราะมันมีสามแถวอะ คนที่นี่เรียกว่า "รถโพถ้อง") จากนั้นเราก็ช็คอินเข้าที่เกสต์เฮ้าส์ ชื่ออะไรฟิชๆ เนี๊ยแหละลืมล่ะ (คือฉันจำอะไรได้บ้างเนี๊ย - -)จากนั้นก็ทิ้งสัมภาระมุ่งตรงไปยังชายหาด เดินต็อกต๋อยสักพัก เพราะมันร้อนมาก (เวลาประมาณบ่ายๆ)เราจึงโดดขึ้นรถสองแถวเข้าเมืองอีกครั้ง เพื่อจะหารถไปแหลมพรหมเทพ ตอนแรกจะเช่ามอเตอร์ไซด์ แต่พอไปสอบถามเขาถามว่า "น้องเป็นคนไทยหรือป่าว" เราก็ตอบไปว่า "ใช่ค่ะ" คนขายสวนกลับมาอย่างทันควัน "คนไทย ไม่ให้เช่า" ฉันและเพื่อน "ตึง (สีหน้า)" ถามรถแท็กซี่ (รถสามล้ออะ) เหมาไป ๑๐๐๐ นึง (แม่เจ้า!) เลยตัดสินใจเข้าเมืองดีกว่า เรามาลงที่ตลาดแถววงเวียนน้ำพุ ต่อรถไปหาดราไวย์ และค่อยหารถขึ้นไปแหลมพรหมเทพอีกทีล่ะกัน เราก็นั่งรถกินลมชมวิวกันไป ๔๐ บาท (นั่งหน้ากับคนขับ และไม่อยากจะบอกว่าคนขับหน้าเหมือนพี่สิงโต นำโชคมาก) เราก็เดินเล่นแถวหาด เดินลงไปสะพานปลา (แดดร้อนแรงมากก ก)จากนั้นก็หารถเพื่อมุ่งหน้าขึ้นไปแหลมพรหมเทพ ด้วยความพอเหมาะพอเจาะ มีคุณลุงกับคุณป้าจะขึ้นไปพอดี (ซึ่งเป็นรถโดยสาร)ลุงก็ให้ติดรถไปด้วย เก็บค่ารถ ๓๐ บาท เมื่อมาถึงก็เจอนักท่องเที่ยวเยอะอยู่นะ เรานั่งรอ รอ รอ พระอาทิตย์ตกดิน แต่ก็ไม่เห็นมันจะตกก สงสัยเมฆมากไป อากาศก็ร้อนอีก อารมณ์หงุดหงิดก็ค่อยๆ กำเริบ บางทีพวกเราก็เหวี่ยงใส่กันบางไรบ้าง บางทีเงียบไปเลยไม่พูดไม่จา จริงๆ มันก็เรื่องปกติคนเราไม่ได้เข้าใจกันไปซะทุกเรื่อง ยิ่งอารมณ์ของผู้หญิงนะยิ่งเข้าใจยาก (บางทียังไม่เข้าใจตัวเองเลย *-*

    ตากล้องทั้งสองคนเดินทางด้วยกัน เวลาว่างจะทำอะไรละถ้าไม่ใช่ "ถ่ายรูป" เราถ่ายกันไปชุดใหญ่ ๕๕๕
ยิ่งคนก็เริ่มทยอยกันมามากขึ้น เราจึงไปยืนประจำที่ที่จะสามารถเห็นวิวแหลมพรหมเทพได้ชัดๆ ตอนแรกว่าจะเดินลงไปข้างล่าง แต่ชุดและรองเท้าไม่ค่อยเอื้ออำนวยเลยถ่ายแค่ข้างบนพอ ฮ่าๆ เริ่มจะเย็นลงเรื่อยๆ และยังไม่ได้คิดกันว่าจะกลับลงไปยังไง ก็เข้าอีหรอบเดิม เดินสิจ๊ะ ทางที่แหลมพรหมเทพค่อนข้างโหด ขึ้นสูงยังงั้น ลงต่ำอย่างงี้ ใช้แรงกันเยอะเลย ทริปนี้เลยเป็นทริปที่ถึกทริปหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่หลังจากที่เราเดินไปเรื่อยๆ และบ่นกันตลอดทาง เราก็เจอคนมาวิ่งออกกำลังกายกันสองสามคน ก็ทักกันไปตามสเตป (อย่างน้อยก็อุ่นใจว่าเดินลงได้ล่ะกัน) เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอนักวิ่งอยู๋ปะปลาย มีฝรั่งด้วยอ้ะ (กรี๊ดดด) พยายามโบกรถหลายคันแล้วนะ แต่ไม่มีใครจอดเลย จนในที่สุดมีคันหนึ่งเค้าจอดถามว่าจะไปไหนไปส่งไหม เราก็ดูลาดราว ท่าทางพร้อมป้ายทะเบียนไว้ก่อน และก็โดดขึ้นรถเลยจ้า พี่เค้าก็ชวนคุยไปเรื่อย และบอกว่าจะไปส่งถึงป่าตองเลยไปไหม คิด ๕๐๐ บาท เราก็ยังอึกๆ อักๆ มัดหมี่ต่อเหลือ ๔๐๐ หรือ ๓๐๐ เนี๋ยแหละ พี่เค้าก็โอเคด้วยนะ ๕๕๕



         นั่งรถมาสักพักจะเจอกับจุดชมวิวกะตะ กะรน พี่คนขับก็ใจดีบอกว่าแวะถ่ายรูปไหม ไหนๆ ก็มาแล้ว เราก็ไม่ขัดศรัทธา ลงไปถ่ายโล้ด เดินๆ อยู่มีพี่คนหนึ่งเข้ามาทัก ใช่น้องที่เดินลงเขากันมามั้ย จะไปไหนกันล่ะ เราก็บอกว่าจะไปป่าตอง พี่เค้าก็จะไปหาดป่าตองเหมือนกันก็เลยชวนไปด้วยกัน คืออะไรจะโป๋ะเชะขนาดนั้น มัดหมี่รีบถามก่อนเลยว่ากี่บาทคะพี่ พี่เค้าบอกคนไทยด้วยกันไม่คิดตังค์หรอก เรามองหน้ากันเลิกลั่ก จากนั้นให้มัดหมี่ไปบอกพี่คนขับคนนั้นว่ามีคนจะกลับป่าตองเหมือนกัน ขอโทษขอโพยไปที่ทำให้เสียเวลา :) จากนั้นก็ยิงยาวนั่งถึงป่าตองเลย แต่พักกันคนละละแวกเราก็เลยต้องเดินต่อไปอีก และเราก็พาหลงสิจ๊ะ ฮ่าๆ(มั่วตลอดเรา) เดินๆ ไปเจอน้องนักเรียนคนหนึ่ง เราก็ถามทางน้อง น้องบอกขึ้นมาเลยพี่ เดี๋ยวหนูไปส่ง (น้องขี่มอเตอร์ไซด์อยู่พอดี)ทีนี่น้องก็เลยขี่พาเที่ยวรอบๆ ป่าต้อง แบบแสงสีผับอร่ามเลยจ้า ฮ่าๆ ฝรั่งเพียบ และแล้วน้งก็พาพี่ๆ มาถึงที่พัก ขอบคุณมากๆ นะจ๊ะ น้องชื่ออะไรลืมแล้ว แต่น้องเรียนสตรีภูเก็ตอะ ๕๕๕ 

        วันสุดท้ายแล้วก่อนจะกลับเรือบิน ไฟล์ทเย็นๆ เราเลยเดินทางไปสะพานสารสินกัน ก็ตามเดิมนั่งรถโพถ้องไป
(นั่งเกือบจะครบทุกสายล่ะ)ตานี้นั่งงยาวสุดสายเลยจ้า มาถึงก็ฝนตกอีก แถมหิวด้วยเลยไปกินอาหารริมเลกันหน่อย (ริมหาดทรายแก้ว) ไหนๆ จะกลับแล้วเลยขอกินอะไรชุดใหญ่หน่อยก็จัดเมนูซีฟู้ดมา อิ่มท้องแล้วเราก็เดินไปยังสะพานสารสิน สะพานที่มีตำนานความรักที่เล่าขานต่อๆ กันมา ว่าคู่รักที่ไม่สมหวังในความรัก เพราะทั้งคู่เกิดมามีฐานะต่างชนชั้นกัน จึงพร้อมใจกันผูกผ้าขาวม้าต่อกันมัดตัวเองกระโดดจากกลางสะพานลงสู่พื้นน้ำ ก่อนที่จะเศร้าไปมากกว่านี้ เราก็รีบถ่ายรูปสะพานสารสิน ส่วนอีกฝั่งของสะพานก็จะเป็นจังหวัดพังงามีอาณาเขตติดต่อกัน (ได้แต่คิดในใจว่าอยากไปเที่ยวต่อจัง) จากนั้นเราก็เดินทางไปยังสนามบินนานาชาติภูเก็ต ด้วยรถสามล้อเครื่อง (รถมอเตอร์ไซด์พ่วง) และก็ถึงที่หมาย รอเวลาทยานสู่น่านฟ้าเพื่อกลับดินแดนทุ่งรังสิต..






'นักเดินทางคนหนึ่ง เดินทางเมื่อ 04/07/14-07/07/14

Comments